
จากบทความรีวิว W220 มา 3 EP ผมขอมาสารภาพในตอนนี้ครับว่า ผมได้ขาย W220 ผมไปสักพักใหญ่แล้วครับ ด้วยความคิดถึง Mercedes-Benz ยุค 2000 จึงได้มีโอกาสหาจับ W211 มาใช้งานในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แล้วยังคงประทับใจเหมือนเดิม ก่อนจะไปถึงรีวิวกันนั้น ผมขอนิยาม W211 ว่า
ความรู้สึกเดียวกัน ที่ถูก Downgrade ลง |
- ด้านการขับขี่
โดยภาพรวมการขับขี่ได้ฟิลลิ่งที่คล้าย ๆ กัน สัมผัสคันเร่ง และแป้นเบรคเหมือน ๆ กัน การทำงานของเกียร์ เรียกว่าแทบจะเป็นรถรุ่นเดียวกันเลยก็ว่าได้ จะต่างกันในเรื่องของ
W211 | W220 | |
อัตราเร่ง | ต้นดี ปลายดี | ต้นอืด ปลายดี |
ความคล่องตัว | คล่องตัวกว่า | ขับในเมืองค่อนข้างอืดอาด |
ความนุ่มนวล | นุ่มนวล | นุ่มนวลกว่ามาก ๆ |
ความเกาะถนน | เกาะ | เกาะกว่ามาก ๆ |
อัตราสิ้นเปลือง | ในเมือง เฉลี่ย 7-8 km/L | ในเมือง เฉลี่ย 5-6 km/L |
อัตราสิ้นเปลือง | นอกเมือง 10-12km/L | นอกเมือง 9-10km/L |

- อัตราเร่ง : W211 E200 Kom ให้อัตราเร่งช่วงต้นถึงปลายที่สม่ำเสมอ
W220 ช่วงต้นค่อนข้างอืด แต่ปลายอัตราเร่งไม่ต่างจาก E200 kom
โดยการตอบสนองของเกียร์เหมือนกัน เนื่องจากเป็นเกียร์ลูกเดียวกัน - ความคล่องตัว : W211 นั้นมีช่วงรถที่สั้นกว่า W220 โดย W211 มีความยาวรถที่ 4,834mm (2003-06) และ 4851mm (2007-09) และ W220 มีความยาวรถที่ 5,042mm (SWB) ถึง 5,159 (LWB) หรือสั้นกว่าประมาณ 200mm
รวมถึงหากเลือกใช้เครื่องยนต์ดีเซล หรือเบนซิน ซุปเปอร์ชาร์จ จะได้เรี่ยวแรงของช่วงต้นที่ดีกว่า ทำให้มีความคล่องตัวในเมืองสูงกว่ามาก ในขณะที่ W220 นั้นการตอบสนองคันเร่ง และเครื่องยนต์ในช่วงต้น จะช้ามาก แต่หากลอยตัวแล้ว ความแรงในช่วงปลายถือว่าใกล้เคียงกัน - ความนุ่มนวล : W211 นั้นใช้โช้คอัพ+สปริง แต่ W220 จะใช้เป็นโช้คถุงลม Airmatic ซึ่งแน่นอนว่าความนุ่มนวลเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว
W211 นั้นก็มีความนุ่มนวลอยู่ระดับนึง แต่ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีโช้คอัพ+สปริง ทำให้ทำเต็มที่ยังไงก็ได้เท่านี้ หากนุ่มไปกว่านี้ก็อาจจะไม่เกาะถนนแล้ว รวมถึงยังคงสัมผัสได้ถึงแรงสะเทือนของความขรุขระมาอยู่บ้าง
W220 ที่ใช้ Airmatic นั้นจะนุ่มมาก เหมือนนั่งอยู่บนเรือสำราญแหวกคลื่นทะเล เป็นเทคโนโลยีที่มาแก้ปัญหาของโช้คอัพ+สปริง เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมรถหรู ๆ ปัจจุบันยังคงเลือกใช้โช้คถุงลมอยู่ - ความเกาะถนน : W211 ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ๆ แล้ว ความเร็วสูงทั้งทางตรงและทางโค้ง การควบคุมให้ความรู้สึกมั่นคง นิ่ง
W220 หากคนไม่รู้จักมานั่ง จะให้ความรู้สึกลอย ๆ แต่จริง ๆ แล้วตัวรถนิ่งกว่ามาก เข้าโค้งก็ดูดโค้งมาก แม้ว่าจะปรับความแข็งเป็นนุ่มสุดก็ตาม แต่หากปรับเป็นแข็งสุด ก็ให้ความรู้สึกเหมือนรถแข่งในสนามเลยทีเดียว

2. การซ่อมบำรุง
เคยกล่าวไปใน EP1 ของรีวิว W220 แล้ว ว่าสาเหตุที่เลือก W220 เพราะว่าจากการหาข้อมูลพบว่า W211 ก็ถือว่าหนักเอาเรื่องเหมือนกัน ค่อย ๆ ไล่ไปทีละรายการนะครับ
- ปั๊มเบรค SBC หรือระบบเบรคไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้หม้อลมเบรคเหมือนรถทั่วไป เริ่มใช้ใน W211 ตัวแรก แต่ในรุ่นหน้าธนู (Facelift) ได้กลับมาใช้หม้อลมเบรคธรรมดาเหมือนเดิม
ราคาอะไหล่มือสอง ประมาณ 20,000บาท เบิกใหม่ประมาณ 40,000 บาท - E200 Kompressor เครื่อง M271 จะมีปัญหาที่ Kompressor และเฟือง Advance
ราคาอะไหล่ Kom มือสอง ประมาณ 20,000บาท
เฟือง Advance เบิกใหม่ ประมาณ 60,000บาท - E220 CDI จะมีปัญหาที่ระบบหัวฉีด และเทอร์โบครับ ซึ่งค่าซ่อมดีเซล จะสูงกว่า E200 Kompressor ไปอีกขั้นนึง
ซึ่งในบรรดาล E-Class เครื่องที่ดูจะมีปัญหาน้อยสุดคือ M112 E240 ซึ่งเป็นเครื่องเดียวกับ S280 ครับ เป็นเครื่องยนต์ที่ทนไม้ทนมือ อาการประจำรุ่นน้อย จะมีแค่น้ำมันเครื่องเยิ้มออกที่ฝาครอบวาล์ว กับใช้หัวเทียน 12 หัว (หัวเทียน 2 หัว ต่อสูบ)

ในขณะที่ W220 S280 นั้นพื้นฐานเครื่องยนต์ และเกียร์ คือตัวเดียวกันกับ W211 E240 ทำให้ในด้านของการดูแลเครื่องยนต์ และเกียร์ตัดทิ้งไปได้ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ W220 นั้นมาพร้อมกับ Option ที่มากกว่า ได้แก่
- ประตูดูด
- โช้คถุงลม Airmatic
- เบาะนั่ง ปรับถุงลมดันหลัง
- เบาะนั่ง ปรับอุ่นหลัง และพัดลม
- ปรับเอนเบาะนั่งหลัง
ซึ่งการทำให้ S-Class ปีเก่าขนาดนี้สมบูรณ์ เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ทั้งในแง่ของการหาอะไหล่ งบประมาณ รวมถึงช่าง
จริงอยู่ ที่รถปีเก่าขนาดนี้แล้ว จะหาช่างที่ไหนเข้าก็ได้ แต่เชื่อไหมครับว่า รถปีเก่าแบบนี้แหละ ไม่ใช่ทุกอู่ที่คุณเข้าไปแล้วมันจะจบ เป็นสาเหตุที่ผมตัดใจขาย W220 ทิ้ง ด้วยภาระงานที่มากขึ้น ไม่มีเวลาไปเข้าอู่ครับ

บทสรุป เลือกรถรุ่นไหนดี ส่วนตัวผมยังคงเลือก W220 ครับ ชอบความนุ่มสุด ๆ ความเกาะถนนสุด ๆ (ชอบ Airmatic นั่นเองครับ) แต่ก็แลกมาด้วยกับค่าซ่อมที่โหดกว่า อะไหล่หลายอย่างแพงกว่า ได้ยินว่าปัจจุบันโช้ค Airmatic ยี่ห้อ bilstein ปรับขึ้นเป็น 20,000บาท/ต้นแล้วนะครับ)
แต่ถ้าเฉย ๆ กับโช้คถุงลม E-Class ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีอยู่ครับ ได้ความรู้สึกในการขับขี่เดียวกันอยู่ แล้วเลือกเป็นตัวไหนดีล่ะ
- E220 CDI ได้ความประหยัดน้ำมัน และแรง แต่ค่าซ่อมแพงสุด เครื่องจุกจิก
- E200 Kom ได้ความประหยัดน้ำมัน และแรง (รองจาก E220 CDI) การซ่อมบำรุงจุกจิกรองลงมา ซ่อมแล้วจบ
- E240 N/A เครื่องยนต์ไม่ต้องดูแลมากนัก แต่มีแค่โฉมก่อน Facelift ทำให้ยังต้องเจอกับปัญหาเบรค SBC อยู่ดี
โดยอยากให้เลือกเป็นรถที่เป็นหน้าธนู (facelift แล้ว) เท่านั้น เนื่องจากหมดกังวลปัญหาจากปั๊มเบรค SBC ครับ
ขอบคุณทุกท่านที่รับชมบทความ ท่านสามารถให้กำลังใจเราได้ด้วยการกดติดตามเพจ และย้อนกลับไปอ่านบทความ EP1 – EP3 ได้ที่