ประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศติดอันดับโลก ในด้านอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนน โดยผมเองก็มองไม่เห็นอนาคตเหมือนกัน ว่าใครจะสามารถเข้ามาทำให้สถิติเหล่านี้มันหายไป แต่ในฐานะที่เราใช้ท้องถนนทุกวัน เราสามารถไปเรียนขับขี่ปลอดภัย เพื่อเสริมทักษะ และนำมาสู่ความปลอดภัยในระดับหนึ่งของชีวิตเรา
ในประเทศไทยมีศูนย์อบรมขับขี่ปลอดภัยอยู่หลายเจ้า ถ้าในส่วนของมอเตอร์ไซค์ มีอบรมเกือบทุกแบรนด์ผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ เช่น Yamaha Honda Suzuki และ Ducati
แต่ในฝั่งรถยนต์ ผมนึกออกเพียงแค่เจ้าเดียว คือ Toyota Racing School ที่แบ่งหลักสูตรออกเป็น 3 คอร์ส
- Basic 3,000 บาท ความรู้พื้นฐานของการขับขี่รถยนต์
- Advance 5,000 บาท ความรู้ขั้นสูงสุดของการขับขี่รถยนต์ (เทียบเท่ากับคอร์สที่ผมกำลังจะรีวิว)
- Racing 8,000 บาท ความรู้การขับขี่ในสนามแข่ง
ซึ่งข้อเสียของ Toyota ที่ผมไม่ได้เลือกที่จะเรียนด้วย ก็คือจะข้ามไปเรียนในคอร์ส Advance หรือ Racing จะต้องผ่านคอร์สก่อนหน้ามาแล้วเท่านั้น ซึ่งหากว่ากันจริง ๆ แล้ว ผมว่าคอร์ส Basic นั้นธรรมดาเกินไปสำหรับคนที่หาความรู้ในการขับรถเพิ่มเติมอยู่เสมอ
http://www.toyotaracingschool.com/2018/JoinUs.html
ในส่วนของสื่อสากล มีคอร์สอบรม On-Road เพียงคอร์สเดียว คือ การขับขี่ขั้นสูง
รายละเอียดคอร์สเรียน
- ราคา 3,900 บาท
- อบรม 1 วัน
- จำนวนผู้เรียน 27 คน
- รถ 9 คัน จาก 3 ค่ายรถยนต์ Benz BMW และ Subaru ผลัดกันขับขี่
- เรียนรู้เกี่ยวกับ ท่านั่ง การเบรคฉุกเฉิน การหักหลบต่าง ๆ การแก้อาการ Oversteering และ Understeering
- เรียนที่สนามปทุมธานี สปีดเวย์
เกริ่นนำมานาน เรามาเริ่มดูกันเลยดีกว่าครับ ว่าคอร์สนี้ให้อะไรกับผู้เรียนบ้าง
Part 1 ทฤษฎี ที่ไม่น่าเบื่อ
เนื้อหาในส่วนนี้ ได้กล่าวถึงการจัดท่านั่ง การปรับเบาะต่าง ๆ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ครับ
- ปรับความสูงของเบาะ โดยให้หัวอยู่ห่างจากเพดานประมาณ 1 กำมือ หรือสูงเท่าที่เบาะจะทำได้
- ระยะห่างระหว่างเบาะ และพวงมาลัย โดยให้เท้าซ้ายวางที่พักเท้า โดยขายังงอได้อยู่เล็กน้อย ในขณะเดียวกัน เท้าขวาเหยียบแป้นเบรคจนจม แต่ยังคงงอขาได้อยู่เล็กน้อย
- ปรับพนักพิง ให้สูงชันขึ้นมา ไม่ควรนอนขับรถ
- ปรับพวงมาลัยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยพวงมาลัยจะต้องไม่บังหน้าปัด และผู้ขับขี่ต้องหมุนพวงมาลัยได้โดยง่าย วิธีตรวจสอบว่าปรับถูกต้องหรือไม่ คือ ใช้มือขวาจับที่ตำแหน่ง 11 นาฬิกาของพวงมาลัย แต่ยังสามารถงอแขนได้เล็กน้อย
- ปรับความสูงของหมอน ให้อยู่กึ่งกลางพอดีกับศรีษะพอดี
ทุกอย่างมีที่มาที่ไป สาเหตุที่ต้องทำตามนี้ ก็เพราะว่า
- เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถมองได้ไกลขึ้น
- หากเท้าซ้ายยืดตรง แล้วเกิดอุบัติเหตุ แรงที่เข้ามาในตัวรถ อาจทำให้ผู้ขับขี่ขาหักได้ ในขณะเดียวกัน เท้าขวาต้องงอได้ เพื่อสามารถเหยียบแป้นเบรคได้อย่างเต็มกำลัง
- เมื่อรถเกิดอาการใด ๆ การที่เรานั่งในตำแหน่งที่ถูกต้อง จะทำให้ผู้ขับขี่รู้อาการของรถ และแก้ไขได้เร็วขึ้น
- เพื่อให้หมุนพวงมาลัยได้เร็ว เวลาต้องแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
- เมื่อโดนชนจากท้าย ผู้ขับขี่คอจะไม่หัก
นอกจากการปรับเบาะ ท่านั่ง วิทยากรได้พูดถึงการจับพวงมาลัย ให้อยู่ในตำแหน่ง 9 และ 15 นาฬิกา รวมถึงการหมุนพวงมาลัยเทคนิคแบบ Put and Pull
Reaction time หรือระยะเวลาที่ผู้ขับขี่ จะเหยียบเบรค เมื่อรู้ตัวว่าสมควรเบรค โดยเฉลี่ยแล้ว กว่าจะเบรค ผู้ขับขี่ใช้เวลาในการตอบสนองถึง 1 นาที มีสูตรในการคิดตามนี้เลยครับ
Reaction time = (ความเร็ว / 10) x 3
หรือ หากขับขี่มาด้วยความเร็ว 30 km/hr ระยะทางไหลก่อนเหยียบเบรค จะมีค่าเท่ากับ 9 เมตรนั่นเองครับ
และนี่ยังไม่นับระยะเบรคที่รถทำได้จริงๆ โดยยิ่งขับขี่เร็ว ระยะเบรคก็จะยิ่งไหล เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาจำกัดความเร็วในสถานที่ต่าง ๆ ไม่เท่ากัน
ทั้งนี้เนื้อหาที่ผมนำมาลง เป็นเนื้อหาคร่าว ๆ เท่านั้นครับ ไม่สามารถหยิบยกมาได้หมด เนื่องจากผมเองจำไม่ค่อยได้แล้วครับ และรูปถ่ายที่ผมถ่ายมา ดันเผลอทำหายไปหมดแล้วครับ รวมถึงผมว่าการไปนั่งฟังสาธิต น่าจะได้ประโยชน์กว่าการอ่าน ที่จะทำให้เราเห็นภาพชัดเจน (ขายของให้เขาหน่อยครับ การันตีว่าดีจริง)
ในส่วนของรีวิว Part ทฤษฎี
ผมมองว่าวิทยากรเล่าเรื่องได้รวบรัดดี และมีทักษะการถ่ายทอด ที่ทำให้ผู้ฟังไม่น่าเบื่อครับ ผมเองเคยไปอบรมขับขี่ปลอดภัยของ APhonda หรือ Suzuki ต้องบอกว่า ศูนย์ฝึกเหล่านี้เขาต้องทำตามหลักสูตรที่ญี่ปุ่นวางไว้ จึงต้องมีส่วนของทฤษฎีทุกครั้ง และมักยืดยาวจนน่าเบื่อครับ
สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ ที่ไม่เคยเรียนที่ไหนเลย ผมเชื่อว่ามีไม่มากก็น้อย ที่เรายังปฎิบัติตัวไม่ถูกต้องอยู่ และนั่นเป็นสิ่งที่เสริมให้ทฤษฎีของคอร์สนี้ ไม่น่าเบื่อครับ และหากเราอยากทราบอะไรเพิ่มเติม ก็สามารถถามได้ตลอดเวลา
Part 2 Understeering and Emergency break
ในส่วนของสถานีนี้ จะให้ผู้เรียนทดลองเบรคฉุกเฉิน (ขับรถมาตรง ๆ แล้วเบรคตรง ๆ นั่นแหละครับ) และเข้าโค้งที่ความเร็วต่าง ๆ 40 50 และ 60km/hr เพื่อให้รู้อาการรถ
40 km/hr ยังไปสบายๆ
50 km/hr รถเริ่มออกอาการ และมีเสียงร้องคำรามของยาง
60 km/hr รถมีอาการ understeering หากผู้ขับขี่ยิ่งหักพวงมาลัย รถก็จะไม่เชื่อฟังเราครับ ยังคงไถลออกไป สำหรับรถที่มี ABS การใช้ชีวิตในประจำวันอาจจะเหยียบเบรคเต็มกำลัง เพื่อให้รถหยุดเลยก็ได้ครับ
โดยสิ่งสำคัญในสถานีนี้ คือ
- เมื่อรู้ว่ารถออกอาการ มีเสียงร้องของยาง อย่าใส่ความเร็วต่อ ให้ชลอรถได้แล้ว อย่าให้เกิดอาการ Understeering แล้วค่อยแก้ เราไม่ใช่นักแข่ง
- รถที่มี ABS ไม่ใช่ว่าระยะเบรคจะยาวกว่ารถไม่มี ABS เสมอไป โดยทั่วไป รถที่มี ABS เมื่อเบรคที่ความเร็วมากกว่า 60km/hr จะเบรคได้สั้นกว่าเสมอ เนื่องมาจากแรงเฉี่อยที่รถมีอยู่
- ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน กระทืบเบรคเต็มแรงได้เลย ไม่ต้องคิดว่า ABS จะทำงานหรือไม่
รีวิว Part 2 Understeering and Emergency break
เป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญ เนื่องมาจากปัจจุบันรถยนต์ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งสามารถเกิด Understeering ได้โดยง่าย และปกติผู้ใช้งานทั่วไป ก็มักจะไม่ได้ลองทดสอบรถตัวเองอย่างจริง ๆ จัง ๆ ว่า รถเราเบรคจน ABS ทำงาน ได้ระยะเบรคสั้นขนาดไหน นับได้ว่าสถานีนี้ ก็เป็นอีกสถานีที่มีความสนุก รวมถึงไม่ต้องกลัวรถตัวเองช้ำเลย เพราะเป็นรถบริษัทผู้จัดการฝึกอบรม
จุดที่น่าสนใจของส่วนนี้ วิทยากรไม่ได้ให้แก้อาการ Understeering แบบนักแข่ง แต่เมื่อเกิดอาการจะให้ทำการเบรคเต็มแรงมากกว่า หากมีสอนวิธีการแก้อาการ Understeering โดยรถยังเคลื่อนที่ต่อ น่าจะสนุกกว่านี้ครับ
Part 3 Emergency Handling
ถ้าเป็นที่เมืองนอก ก็จะมีการทดสอบที่ชื่อว่า Moose Test หรือว่าวิ่งหลบกวาง แต่ถ้าเป็นเมืองไทย ผมว่าเราสามารถตั้งได้หลายชื่อกันเลยทีเดียว ทั้งการวิ่งหลบหลุม หลบคนข้ามถนน หลบวัว หลบแมว หลบไก่ หลบหมา #พออออ
ในสถานีนี้จะให้ทดสอบหักหลบอยู่ 2 รูปแบบ คือ
- หักหลบซ้าย หรือขวา โดยไม่กลับเข้าเลนเดิม
- หลักหลบซ้าย หรือขวา โดยต้องเบี่ยงกลับเลนเดิม (Moose Test)
เช่นเคยครับ การทดสอบยังคงมาที่ความเร็วต่างๆ 40 50 และ 60km/hr
สำหรับเทคนิคของสถานีนี้คือ ท่าทางการนั่ง การจับพวงมาลัยของเราจะต้องถูกต้อง เพื่อให้การหมุนพวงมาลัยทำได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดเหตุ จะต้องมีการหมุนพวงมาลัยซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว
รีวิว Part 3 Emergency Handling
- ทางวิทยากรไม่ได้ให้ทดลองปิด ESP หรือระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว จึงไม่รู้ว่าสำหรับรถที่ไม่มีระบบช่วยการขับขี่ จะสามารถควบคุมรถได้อย่างสวยงาม แบบตอนขับ Benz หรือไม่
- วิทยากรอธิบายการหมุนพวงมาลัยมากเกินไป จนผู้เรียนหลายคนเกิดอาการเกร็งว่า ตัวเองทำถูกหรือไม่
- จริง ๆ แล้ว สถานีนี้ถ้าผู้ขับขี่เคยทดลองการหักหลบมาก่อน จะสามารถทำได้เลย โดยที่ไม่ต้องฟังหลักการต่าง ๆ ที่วิทยากรสอน มันเหมือนเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ว่าควรจะทำอย่างไร มันจะทำเป็นอย่างอย่างสมูธ
Part 4 Oversteering
ไฮไลท์ของงานนี้เลยทีเดียว ทุกคนเฝ้ารอคอยการดริฟต์ โดยการทดลองก็ไม่ยากครับ เริ่มต้นที่
- คุณต้องมีรถยนต์ขับหลังก่อน (รถขับหลัง จะมีโอกาสเกิด Oversteering ได้มากที่สุด)
- ทำถนนให้ลื่น ๆ นิดหน่อย โดยการราดน้ำผสมผงซักฟอก
- ขับรถวนเป็นวงกลมที่ความเร็ว 20km/hr
- เหยียบคันเร่งมิด
เพียงเท่านี้รถของท่านก็จะหมุนสมใจอยาก
ในส่วนของวิธีการแก้ เพียงแค่ยกคันเร่ง และหมุนพวงมาลัยไปในทิศทางที่ท้ายออก โดยทั้งหมดนี้จะต้องกระทำอย่างรวดเร็ว
จุดสังเกตคือ หากผู้ขับขี่ปรับเบาะถูกต้อง จะทำให้ผู้ขับขี่รับรู้ถึงอาการ Oversteering อย่างรวดเร็ว คือมีอาการหลังหวิว ๆ และหากจับพวงมาลัยถูกวิธี ก็ทำให้แก้อาการได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกัน
และก่อนจบสถานีนี้ วิทยากรให้ผู้เรียนได้เปิดระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว แล้วกดคันเร่งมิดขับวนเป็นวงกลม พบว่าที่ความเร็วต่ำ ๆ รถยังมีอาการเสียหลักให้เห็นอยู่ แต่ระบบ ESP จะช่วยตัดกำลังเครื่องยนต์ เบรคในบางล้อ เพื่อให้รถยังสามารถควบคุมอยู่ได้ ดังนั้นหากท่านจะซื้อรถ อยากให้ดูถึง option ความปลอดภัยต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นต้องมี
แต่ทั้งนี้ เมื่อมีแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะขับได้เต็มที่ เพราะเป็นเพียงระบบช่วยเหลือ หากท่านจัดความเร็วมาเต็ม ๆ คาดว่าคงได้ไปพบกับต้นไม้
รีวิว Part 4 Oversteering
เป็นส่วนที่สนุกที่สุด ได้ลองทำให้รถหมุนจนรู้ว่า อ่อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง ได้ลองฝึกแก้อาการ ซึ่งในชีวิตจริงถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เราอาจจะแก้มันไม่ได้
ผู้จัดงานถือว่าบริการเวลาได้ดีพอสมควร แม้ว่าจะต้องผลัดกันขับขี่ แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าได้ขับน้อยเกินไป (แต่ถ้าได้ขับขี่มากกว่านี้ก็ดี)
โดยรวม ผมว่าทางผู้จัด (สื่อสากล) เขาเต็มที่มาก ๆ เขาให้ลองรถได้เต็มที่ (รถ Sponsor อีกที 55555) เป็นจุดเด่นของคอร์สนี้เลยครับ อะไรที่เราไม่เคยลองทำบนท้องถนน เราได้มาลองที่นี้หมด หลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดที่นี่ เช่น Oversteering ผมยังแก้อาการได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้บนท้องถนนจริง ๆ ที่ความเร็ว 100km/hr เราจะรอดตายหรือไม่
ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนไปลงเรียนกันครับ อย่าคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ไม่ต้องเรียนก็ได้ ผมเชื่อว่ายังมีสิ่งที่คุณไม่รู้อีกเยอะครับ ผมก็คิดว่าตัวเองเก่ง แต่ก็ยังหาโอกาสไปฝึกอยู่เสมอ ทั้งคอร์สมอไซค์ของ Honda หรืออนาคตถ้ามีโอกาสก็ลงกับทางสื่อสากลอีกแน่นอน ทักษะก็เป็นสิ่งที่หายไปตามกาลเวลา การหาโอกาสฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งที่ดี
ขออนุญาตตัดจบเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมครับ